ความเป็นมาความก้าวหน้าของโครงการ

คำนำ

การดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อมีแหล่งน้ำจืดสามารถจัดการให้เกิดประโยชน์ได้แล้วการดำเนินการพัฒนาอาชีพการเกษตรและการฟื้นฟูพัฒนาสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปเป็นเรื่องสำคัญที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะเข้าร่วมมือกันส่งเสริม สนับสนุน และแก้ไขปัญหาตามหลักวิชาการ โดยการวางแนวทางการพัฒนาให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่นตามเป้าหมายสุดท้ายของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือ การพึ่งตนเองได้ของราษฎร

รายงานความก้าวหน้าการพัฒนาอาชีพการเกษตรและสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ได้ประมวล สรุปการดำเนินงานในประเด็นสำคัญที่ได้ดำเนินการไปแล้ว  และที่ยังต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปจนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้  แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการย่อย และกิจกรรมอื่นๆ ก็ได้ดำเนินการควบคู่กันไปด้วย เพื่อการพัฒนาแบบผสมผสานให้เป็นไปตามแนวพระราชดำริต่อไป


ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

การบริหารดำเนินงาน

โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่

ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

—————————————————-

ความเป็นมา

ลุ่มน้ำปากพนังตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีแหล่งต้นน้ำคือ  ทิวเขานครศรีธรรมราช  เกือบขนานกับชายฝั่งทะเล  โดยมีลักษณะภูมิประเทศ  ๓  แบบ คือ  ตอนบนของลุ่มน้ำ  เป็นที่ลาดชันมาก ตอนกลาง เป็น ที่ลุ่มต่ำท้องกระทะ มีสภาพเป็นป่าพรุกว้างใหญ่  ตอนล่าง เป็น ที่ราบลุ่มต่ำสู่ชายฝั่ง  มีแม่น้ำปากพนังเป็นแม่น้ำสายหลัก  ยาวประมาณ  ๑๕๖  กิโลเมตร ไหลผ่านกลางพื้นที่ ครอบคลุมพื้นที่ ๑๐ อำเภอ ของ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ อำเภอปากพนัง อำเภอชะอวด อำเภอร่อนพิบูลย์  อำเภอเชียรใหญ่  อำเภอหัวไทร  อำเภอจุฬาภรณ์ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอพระพรหม อำเภอเมือง และอำเภอลานสกา   ๒ อำเภอ ของ จังหวัดพัทลุง ได้แก่ อำเภอควนขนุน และอำเภอป่าพะยอม  ๑ อำเภอ ของ จังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอระโนด รวม ๗๖ ตำบล ๕๙๙ หมู่บ้าน ประชากร ๕๔๔,๙๑๘ คน  พื้นที่ประมาณ  ๓,๑๐๐ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๑,๙๓๗,๕๐๐ ไร่ ในจำนวนนี้มีพื้นที่นามากกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ไร่

ในอดีตลุ่มน้ำปากพนังมีความอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ทุกนิเวศ ถูกประสานเกี่ยวโยงต่อกันอย่างสมดุลด้วยนิเวศแหล่งน้ำ  เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของภาคใต้  จากสภาพดินที่มีปัญหา จากการใช้ประโยชน์ที่ดินที่หลากหลายแบบรีดเค้นทำลาย เป็นผลให้ นิเวศแหล่งน้ำขาดสมดุล เกิดปัญหา น้ำเค็มรุก จากการขาดแคลนน้ำจืด น้ำเปรี้ยวจากป่าพรุแพร่กระจาย น้ำเสียจากพื้นที่ทำนากุ้ง แปลงเกษตรกรรม และแหล่งชุมชน และเกิดน้ำท่วมในระดับสูงและยาวนาน เนื่องจากเป็นพื้นที่รวมน้ำหลาก มีสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำ และมีช่องทางระบายน้ำไม่เพียงพอ

แนวพระราชดำริ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่ ด้วยพระเนตรพระกรรณ ทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ อย่างต่อเนื่องยาวนาน มาโดยลำดับถึง ๑๓ ครั้ง  แนวพระราชดำริโดยสรุปคือ  ทรงให้แก้ปัญหาด้าน ปริมาณ และคุณภาพน้ำ ขจัดความขัดแย้ง โดยก่อสร้าง “ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ” เป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นให้ก่อสร้างประตูระบายน้ำและระบบระบายน้ำ ระบบกักเก็บน้ำ และระบบส่งน้ำ อื่นๆเพิ่มเติมความสมบูรณ์ตามศักยภาพของพื้นที่   ให้รักษาฟื้นฟูพัฒนาสิ่งแวดล้อม และพัฒนาอาชีพส่งเสริมรายได้ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ควบคู่กันไปอย่างครบวงจร  เพื่อความอยู่ดีกินดี ของ ราษฎรในพื้นที่ ได้อย่างยั่งยืน บนฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมดุล

ลำดับการพัฒนา

การดำเนินงานเพื่อสนองพระราชดำริของทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่กว่า ๕ แสนคนในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านชลประทาน ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง เป็นลำดับแรก ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ก่อสร้างระบบส่งน้ำไม้เสียบ และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส  เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำต้นทุน เมื่อวันที่ ๙ และ ๑๑ ตุลาคม ปี พ.ศ. ๒๕๓๕พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำริให้ก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่พ้นวิกฤติจากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ  การก่อสร้าง”ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ” ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของโครงการ

อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส ระบบส่งน้ำฝายไม้เสียบ

ได้มีการจัดตั้งองค์กรในการดำเนินงานโครงการฯ โดยเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม  โดยเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๖ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธาน กปร. ในขณะนั้น ได้มีคำสั่งที่ ๑/๒๕๓๖ แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการฯ โดยมี ฯพณฯ นายจุลนภ สนิทวงศ์    ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นประธานกรรมการฯ  เลขาธิการ กปร. เป็น กรรมการและเลขานุการ และมีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการฯเพิ่มเติมในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้มีคำสั่งที่ ๑๒/๒๕๔๖ ปรับปรุงองค์ประกอบและแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการฯ โดยมี นายกรัฐมนตรี   เป็นประธานกรรมการฯ  อธิบดีกรมชลประทาน  เป็นกรรมการและเลขานุการ จนถึงปัจจุบัน

เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อรับผิดชอบงานในแต่ละด้าน  ซึ่งได้มีการปรับปรุงคำสั่งเรื่อยมาโดยลำดับ เพื่อให้เหมาะสมสอดรับ ตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานโครงการฯ  ล่าสุด กปร. ได้มีคำสั่งที่ ๓/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ปรับปรุงคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่างๆ  จนถึงปัจจุบัน  ประกอบด้วย  คณะอนุกรรมการ (ส่วนกลาง)  ๒  คณะ  ทำหน้าที่   จัดทำแผนการพัฒนาด้านอาชีพ และพัฒนาสิ่งแวดล้อม  คณะอนุกรรมการ (ส่วนภูมิภาค)  ๑ คณะ  ทำหน้าที่  จัดทำแผนปฏิบัติการ และประสานการดำเนินงาน  และให้มี ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นสำนักงานเลขานุการโครงการและฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการ (ส่วนภูมิภาค)  ภายใต้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาจากสำนักงาน กปร.

การบริหารโครงการ มีการปรับปรุงคำสั่งมาโดยลำดับล่าสุด ตามคำสั่ง กปร.ที่ ๓/๒๕๕๓

ลว. ๓๐ ก.ค. ๒๕๕๓

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘  เริ่มก่อสร้าง ปตร.อุทกวิภาชประสิทธิ์  เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป  ปี พ.ศ. ๒๕๔๒  ก่อสร้าง  คลองระบายน้ำ และ ปตร. ๔ แห่ง เพื่อช่วยระบายน้ำบรรเทาอุทกภัย  ปี พ.ศ. ๒๕๔๓  ก่อสร้างคันแบ่งเขตน้ำจืด-น้ำเค็ม เพื่อขจัดปัญหาความขัดแย้งของราษฎรในพื้นที่ใกล้เคียงกันแต่มีความต้องการคุณภาพน้ำไม่สอดคล้องกัน ได้มีการก่อสร้างระบบชลประทานน้ำเค็มบริเวณพื้นที่ชายฝั่ง มี กรมประมง เป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนา และก่อสร้างระบบชลประทานน้ำจืด มี กรมชลประทาน เป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนา การดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักแล้วเสร็จในปี ๒๕๔๗ สำหรับโครงสร้างพื้นฐานย่อยๆเพื่อเสริมความสมบูรณ์ในพื้นที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมดำเนินการเพิ่มเติมในพื้นที่ อย่างต่อเนื่องมาโดยลำดับ

ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ

พระตำหนักประทับแรมอำเภอปากพนัง

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ำได้มีการพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่  มีประตูระบายน้ำขนาดใหญ่ป้องกันน้ำเค็มบริเวณชายฝั่ง ๔ แห่ง มีระบบส่งน้ำด้วย Gravityรวม ๗๖,๕๐๐ ไร่  ระบบส่งน้ำด้วยเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ด้วยกระแสไฟฟ้าโดยกรมชลประทาน รวม ๔๐,๙๐๐ ไร่ ระบบส่งน้ำที่เกษตรกรต้องสูบน้ำขึ้นสู่แปลงเกษตรกรรมเอง รวม ๔๓๙,๑๐๐ ไร่  รวมพื้นที่ชลประทานทั้งสิ้น ๕๕๖,๕๐๐ ไร่ มีการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา สำหรับแหล่งกักเก็บน้ำต้นทุนในปัจจุบัน สามารถก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใสความจุ ๘๐ ลูกบาศก์เมตร ได้เพียงแห่งเดียว นอกนั้นจำเป็นต้องชะลอโครงการจากปัญหาเรื่องที่ดิน  อย่างไรก็ตาม กรมชลประทาน จะต้องบริหารจัดการน้ำ ภายใต้ข้อจำกัดของการพัฒนา ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ  สภาพนิเวศวิทยาในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังมีความซับซ้อนสูงมาก   น้ำต้นทุนจำกัด  การใช้ประโยชน์ที่ดินที่หลากหลาย มีความซับซ้อนในการบริหารจัดการน้ำสูง การแก้ปัญหาหนึ่งมักก่อให้เกิดผลกระทบด้านอื่นตามมา

แนวทางการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน มีการพัฒนาความเข็มแข็งขององค์กรชุมชนมุ่งเน้นการมีส่วนรวม สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยการผลิตที่เกินศักยภาพของชุมชน   ทั้งนี้ได้ดำเนินการตามแผนแม่บทที่สอดคล้องกับแนวพระราชดำริ โดยมีศูนย์บริการร่วมเพื่อการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการบูรณาดำเนินงานในพื้นที่ร่วมกัน ในรูปแบบ One Stop Service

สภาพปัญหาและการดำเนินการแก้ไข

หลังจากได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการชลประทานหลักๆแล้วเสร็จ เป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง  ในระยะต่อไป คือปรับปรุงฐานะความเป็นอยู่ ด้านเศรษฐกิจและสังคมของราษฎรในพื้นที่ให้ดีที่สุด  เพื่อให้บรรลุ  ตามพระราชประสงค์ที่จะให้โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อคืนความอุดมสมบูรณ์  เฉกเช่นที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของภาคใต้  จากสภาพปัญหา ด้านต่างๆในพื้นที่ กล่าวคือ

ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีปัญหาจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม   การบุกรุกทำลายป่าต้นน้ำ ป่าพรุ และป่าชายเลน  การแพร่ระบาดของวัชพืชน้ำ น้ำเสียจากพื้นที่เกษตรกรรมและแหล่งชุมชน  การกัดเซาะชายฝั่ง  ตะกอนทรายปิดปากร่องน้ำ  และตะกอนดินเลน ในท้องน้ำแม่น้ำปากพนัง และคลองสาขา

ด้านการประกอบอาชีพ  มีปัญหาจากคุณภาพดินไม่เหมาะสมกับการผลิตทางการเกษตร มีสภาพดินเปรี้ยวจัดบริเวณพื้นที่ป่าพรุ และสภาพดินเค็มบริเวณที่ราบชายฝั่งทะเล   ดินและน้ำเสื่อมโทรมจากการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบรีดเค้นทำลาย   ในพื้นที่บริเวณเดียวกันมีความซับซ้อนในการใช้ประโยชน์ที่ดินสูงมาก   ฐานทรัพยากรพืชและสัตว์น้ำลดลง  การทำการเกษตรกรรมในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม   การเลี้ยงปลาในกระชังบริเวณท้ายน้ำของประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ  และการฟื้นฟูการใช้ประโยชน์จากบ่อกุ้งร้าง

ด้านทรัพยากรน้ำ  มีปัญหาจาก ไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำต้นทุนอย่างเพียงพอ   ปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง และปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน   มีความยุ่งยากในการบริหารจัดการน้ำจากความซับซ้อนในการใช้ประโยชน์ที่ดินสูง  พื้นที่ส่วนใหญ่ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยังไม่มีการจัดทำข้อตกลงการใช้ทรัพยากรน้ำ  และการกัดเซาะพังทลายของผิวหน้าดินลงสู่แหล่งน้ำ เนื่องจากพืชคลุมดินถูกทำลาย

ทีผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาสิ่งแวดล้อม อนุกรรมการพัฒนาอาชีพ อนุกรรมการประสานการดำเนินงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้บูรณาการจัดแผนงานและงบประมาณ สอดคล้องตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ เข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขให้คลี่คลายอย่างต่อเนื่องโดยลำดับ

กรอบแผนแม่บทอนุกรรมการพัฒนาสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง

กรอบแผนแม่บทอนุกรรมการพัฒนาสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง

หลักสำคัญ การพัฒนาแหล่งน้ำ ต้องดำเนินการควบคู่กับการพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความสมดุล การบริหารการฟื้นฟูและพัฒนาสิ่งแวดล้อม  เป้าหมายเพื่อมุ่งเน้นการร่วมกันบริหารจัดการน้ำอย่างสมดุล คืนความสมบูรณ์ผืนป่าต้นน้ำ ฟื้นฟูที่ดินเกษตรกรรม ดูแลรักษาพื้นที่ชายฝั่ง ได้มีการกำหนด ๔ กรอบยุทธศาสตร์หลัก ในแผนแม่บทด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทุกๆด้าน เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบนิเวศ  ได้แก่ การสงวนอนุรักษ์ฟื้นฟูนิเวศลุ่มน้ำ การใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินและน้ำอย่างบูรณาการและยั่งยืน การควบคุมป้องกันมลพิษ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

นอกจากนั้น ได้มีการบริหารการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ โดยกำหนด ๖ กรอบยุทธศาสตร์หลัก  ในแผนแม่บทด้านการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมรายได้ ให้สมดุลกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพื่อราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ได้มีความอยู่ดีกินดี สมดังพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพัฒนาให้สอดคล้องกับ สภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน การปรับปรุงดิน และแหล่งน้ำ มีการพัฒนาการผลิตตามศักยภาพของพื้นที่เป็น ๖ เขตเน้นหนักการพัฒนาอาชีพ ได้แก่  เขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง  เขตปลูกข้าวเพื่อการค้า   เขตปลูกปาล์มน้ำมัน  เขตปลูกข้าวเพื่อบริโภค  เขตทำสวนผลไม้และยางพารา  และเขตอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ โดยมีการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมในทุกๆด้าน  ให้เหมาะสม  อย่างครบวงจร

ผลสัมฤทธิ์

ผลสัมฤทธิ์ จากการบริหารจัดการน้ำ  บังเกิดผลให้  สามารถป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็ม มีแหล่งน้ำจืดไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตรกรรม รักษาสิ่งแวดล้อม ได้เต็มพื้นที่ ปตร.อุทกวิภาชประสิทธิ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ปี ๒๕๕๓ ระดับน้ำทะเลด้านท้ายน้ำ สูงกว่าระดับน้ำจืดด้าน เหนือน้ำ ถึง ๒ เมตร แต่ไม่ทำให้คุณภาพน้ำจืดด้านเหนือน้ำเสียหาย ราษฎรสามารถใช้น้ำจากในระบบโครงข่ายคูคลองในพื้นที่ บรรเทาความขาดแคลนน้ำ ยังผลให้ราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังรอดพ้นวิกฤติรุนแรงไปได้

คุณภาพน้ำ ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สามารถบรรเทาอุทกภัย  ลดระดับและระยะเวลาน้ำท่วมในพื้นที่ลงได้เป็นอย่างมาก โดยสามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้วันละประมาณ ๑๐๐ ล้าน ลูกบาศก์เมตร ระบายน้ำท่วมขังออกจากคลองสายหลักได้ภายใน ๒๐ วัน ลดความเสียหายแก่พื้นที่การเกษตร และแหล่งชุมชนเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลสัมฤทธิ์จากโครงการ เห็นได้ชัดเจนจากการทำนาปรัง เพิ่มจาก ๕๒,๐๐๐ ไร่ เป็น ๒๒๐,๐๐๐ ไร่ ในปัจจุบัน สร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่ ในช่วงฤดูแล้ง ไม่น้อยกว่า ๙๕๐ ล้านบาทต่อฤดูกาล  สำหรับในช่วงฤดูฝน เกษตรกรสามารถทำนาได้เต็มพื้นที่นาข้าว  โดยมีน้ำสนับสนุนอย่างเพียงพอ ผลจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ – พ.ศ. ๒๕๕๒  ราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย ๒๗.๗๔% สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ราษฎรในพื้นที่ มีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น จากปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ประมาณ ๓.๖๗% และเกษตรกรส่วนใหญ่มีความพึงพอใจเจ้าหน้าที่  เป็นอย่างมาก ในความกระตือรือร้นเอาใจใส่ช่วยเหลือราษฎรในทุกๆด้าน

ปัจจัยสู่ความสำเร็จ  คือ  ทุกคน  ทุกหน่วยงาน  มีความ ” ตั้งใจ  ทุ่มเท “ ที่จะทำงานสนองพระราชดำริ  ด้วยความ “ รู้รักสามัคคี ”  โดยความ “ ร่วมมือ  ร่วมแรง  ร่วมใจ ”  เพื่อผลประโยชน์จะตกสู่ประชาชน  ตามพระราชประสงค์ ต่อไป


ภาคผนวก

องค์กรบริหาร

ได้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีกรมชลประทานเป็นหน่วยงานแกนกลาง โดยการกำหนดกรอบโครงสร้างองค์กร ตลอดจนการนำแนวทางและวัตถุประสงค์ ตามตัวแบบศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริมาใช้ในการบริหารราชการ

วัตถุประสงค์ เพื่อให้การบริหารจัดการโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่ตามแนวพระราชดำริอย่างแท้จริง

หน้าที่รับผิดชอบ บริหารดำเนินงานให้การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาแบบองค์รวมมีความเป็นเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพ เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบดำเนินงานพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังที่ต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกด้าน หลังจากที่การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการจัดหาน้ำแล้วเสร็จ

การดำเนินงาน เน้นการอำนวยการและการประสานงาน

-พื้นที่ทั่วไปที่หน่วยงานดำเนินงานตามภารกิจ

ดำเนินการประสานงานให้การพัฒนาและแก้ไขปัญหาแบบองค์รวมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบตามมา

-พื้นที่เป้าหมาย

ดำเนินการบูรณาการเชื่อมโยงภารกิจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อการส่งเสริมพัฒนาแบบผสมผสานที่ครอบคลุมกิจกรรมของชุมชน หลักการที่สำคัญคือ การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นต้องพัฒนาอย่างมีระบบพร้อมไปกับการพัฒนาองค์กรเกษตรกร เพื่อสร้างตัวแบบการพัฒนาขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆต่อไป นอกจากนี้ได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ  สำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการดำรงอาชีพ ก็จะเติมเต็มการส่งเสริมพัฒนาให้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนในพื้นที่

ผลการดำเนินงาน

แนวทางการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำปากพนังแบบผสมผสาน

การบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำปากพนังในจุดเริ่มต้นมีปัญหาข้อขัดแย้งทางแนวคิด แนวปฏิบัติ และท่าทีการทำงานระหว่างหน่วยงานรับผิดชอบกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนนักวิชาการและนักพัฒนาเอกชนที่เคลื่อนไหวเพื่อหาทางบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบ โดยที่ต่างฝ่ายมีความเชื่อและใช้ความรู้ด้านเดียวในการตัดสินใจ จึงได้มีการประสานงานให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสานหลักวิชาการกับภูมิปัญญา สร้างความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ตลอดจนหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน จนเกิดความเห็นที่ลงตัวยอมรับกันได้ทำให้ความร่วมมือทางการปฏิบัติเกิดขึ้นลดทิฐิต่อกัน ก่อให้เกิดแนวทางการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำปากพนังแบบผสมผสาน ที่หน่วยงานชลประทานรับผิดชอบได้ถือปฏิบัติ คือการจัดการเพื่อเก็บกักน้ำจืด การจัดการเพื่อฟื้นฟูนิเวศแหล่งน้ำ การจัดการเพื่อระบายน้ำ

แนวทางการจัดการน้ำโดยชุมชนขนาบนาก อำเภอปากพนัง

พื้นที่บริเวณตำบลขนาบนาก อำเภอปากพนัง ถูกแนวคันแบ่งเขตตัดผ่านเข้าไปในพื้นที่ประมาณครึ่งต่อครึ่ง ป่าจากซึ่งต้องการใช้น้ำกร่อยทำให้ผลผลิตจากต้นจากในพื้นที่ที่อยู่ในเขตน้ำจืดและน้ำเค็มน้อยลง ราษฎรที่ประกอบอาชีพจากป่าจากมีรายได้ลดลง กรมชลประทานจึงได้จัดทำโครงการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเค็มเข้าท่วมพื้นที่ป่าจากในช่วงที่น้ำเค็มจัดและระบายน้ำในพื้นที่ป่าจากช่วงฤดูน้ำหลาก และเนื่องจากการประกอบอาชีพในชุมชนมีความหลากหลาย ได้แก่ การทำนาปลูกผัก การทำตาลจาก การเพาะเลี้ยงกุ้งในบ่อ การทำประมงในลำน้ำ ซึ่งความต้องการใช้น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็มที่สอดคล้องตามสถานการณ์ในพื้นที่ ดังนั้นการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต้องเกิดความลงตัวและเกื้อกูลกัน

ฉะนั้นเพื่อให้โครงการดังกล่าวเป็นไปตามความต้องการของชุมชน และการจัดการไม่ก่อให้เกิดข้อขัดแย้งในชุมชน จึงได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ร่วมกับศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ ทำกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผลประโยชน์ สามารถกำหนดแนวทางบริหารจัดการน้ำร่วมกัน มีคณะกรรมการมาจากตัวแทนหมู่บ้านเข้าร่วมดำเนินการ ทำให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน เพื่อป้องกันความขัดแย้ง ข้อตกลงดังกล่าว เรียกว่า “ปฏิญญาขนาบนาก”

เครือข่ายความร่วมมือในการจัดการปัญหาวัชพืชน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง

การพัฒนาแหล่งน้ำทั้งระบบของลุ่มน้ำปากพนัง เกิดการเปลี่ยนแปลงจากสภาพน้ำไหล เป็นแหล่งน้ำนิ่งไม่มีการไหลเวียนของน้ำทำให้เกิดการตกตะกอนของแร่ธาตุและสารอาหารในน้ำ วัชพืชน้ำเจริญเติบโตและแพร่กระจายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดการสะสมของตะกอนอินทรีย์และตะกอนดินทราย ทำให้แหล่งน้ำตื้นเขิน เป็นปัญหาต่อการใช้น้ำ การระบายน้ำ และการสัญจรทางน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นการสูญเสียน้ำจากการใช้น้ำของวัชพืชด้วย การดำเนินการโดยกรมชลประทานเพียงหน่วยงานเดียวด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณไม่สอดคล้องกับอัตราการเจริญเติบโตแพร่กระจายของวัชพืช ทำให้ปริมาณสะสมในลำน้ำเกิดความหนาแน่นเป็นปัญหาและผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง เมื่อเกิดปัญหาไปทั่วพื้นที่ก็ได้มีการทุ่มงบประมาณเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ครอบคลุม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้จบสิ้นได้

การประสานการดำเนินการจัดการปัญหาโดยการวางกรอบยุทธศาสตร์ 4 ยุทธศาสตร์ คือ การจัดการความรู้ การกำจัดและควบคุม การใช้ประโยชน์ และการสร้างจิตสำนึก โดยความร่วมมือของ จังหวัดนครศรีธรรมราช กรมชลประทาน องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช และองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ จัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมในการดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันได้ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

ดำเนินงานพัฒนาโดยกำหนดพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 6 แห่ง คือ

1.โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีการปรับปรุงดินเปรี้ยวตามทฤษฎีแกล้งดิน บ้านควนโถ๊ะ ตำบลแหลม อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

-สภาพพื้นที่เดิมเป็นพรุดินเปรี้ยว เกษตรกรปล่อยที่ดินทิ้งร้าง ดำเนินการปรับปรุงดินเปรี้ยวตามทฤษฎีแกล้งดินให้สามารถทำประโยชน์ทางการเกษตรได้ พร้อมทั้งส่งเสริมพัฒนาในด้านอื่นๆที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ โดยมีกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่

2.โครงการส่งเสริมการปลูกข้าวครบวงจรตามแนวพระราชดำริ ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

สภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นที่นา มีแหล่งน้ำในพื้นที่แต่เกษตรกรต้องสูบน้ำใช้เอง สามารถปลูกข้าวนาปรังได้ การส่งเสริมพัฒนาการปลูกข้าวทั้งในระบบการผลิต แปรรูป และจำหน่ายครบวงจรให้กลุ่มเกษตรกรสามารถบริหารจัดการเองได้ โดยมีกรมการข้าวเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่

3.โครงการพัฒนาพื้นที่บ้านเนินธัมมังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช

-สภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นดินกรด ทรงพระราชทานพระราชดำริเมื่อปี 2536ให้พิจารณาวางโครงการและก่อสร้างระบบแยกน้ำสามรสออกจากกัน ได้แก่การก่อสร้างระบบป้องกันน้ำเปรี้ยวจากพรุทำให้พื้นที่เพาะปลูกเป็นดินกรด ระบบป้องกันน้ำเค็มบุกรุก และระบบส่งน้ำจืดช่วยเหลือการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภคของราษฎร ซึ่งกรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ แต่เนื่องขาดเอกภาพการส่งเสริมพัฒนาที่ต่อเนื่อง เพื่อให้การประกอบอาชีพของราษฎรในพื้นที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริรับหน้าที่ในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่

4.โครงการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตส้มโอ บ้านแสงวิมาน ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

-สภาพพื้นที่เดิมเป็นที่ราบลุ่มชาวฝั่งทะเลปลูกส้มโอที่มีรสชาติดี ประสบความสำเร็จในการทำสวนส้มโอ ผลผลิตที่ออกจากพื้นที่ถูกเรียกติดปากว่า “ส้มโอแสงวิมาน” ปัจจุบันขยายพื้นที่ปลูกออกไปในหมู่บ้านใกล้เคียง การส่งเสริมพัฒนาระบบการผลิตที่ได้คุณภาพ และระบบการจัดการขายผลผลิตโดยการรวมกลุ่ม พร้อมทั้งส่งเสริมพัฒนาในด้านอื่นๆที่จะให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มโดยมีศูนย์อำนวยการและประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่

5.โครงการนิคมการเกษตรข้าว   ตำบลดอนตรอและตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช

-สภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นที่นา มีการจัดรูปที่ดินน้ำชลประทานเข้าถึงแปลงนา เกษตรกรยึดอาชีพทำนาเป็นหลัก  การส่งเสริมพัฒนาการปลูกข้าวทั้งในระบบการผลิต และระบบธุรกิจให้กลุ่มเกษตรกรสามารถบริหารจัดการเองได้ เป็นต้นแบบพื้นที่การผลิตข้าวที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมพัฒนาในด้านอื่นๆที่จะให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม โดยมีกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่

6.โครงการนิคมการเกษตรปาล์มน้ำมัน ตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช

-สภาพพื้นที่โครงการอยู่ในเขตการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมสภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นดินกรด ปรับพื้นที่ยกร่องและปรับปรุงดินเปรี้ยวสามารถทำการเกษตรได้ ส่งเสริมและพัฒนาการปลูกปาล์มน้ำมันตามความต้องการของเกษตรกร ให้ความรู้การจัดการระบบการผลิตและการธุรกิจตลอดจนการส่งเสริมการรวมกลุ่มที่สามารถบริหารจัดการได้เอง เป็นต้นแบบพื้นที่การผลิตปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมสอดคล้องตามสภาพพื้นและได้คุณภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมพัฒนาในด้านอื่นๆที่จะให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม โดยมีกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการประสานการดำเนินงานในพื้นที่

การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ

สำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการดำรงอาชีพ ก็จะเติมเต็มการส่งเสริมพัฒนาให้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคนในพื้นที่ ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดตั้งไว้แล้ว จำนวน 10 แห่ง

การบริหารจัดการน้ำ

กรมชลประทานได้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้คุณภาพน้ำที่เรียกว่า 4น้ำ 3รส  4น้ำคือ น้ำเค็ม น้ำเปรี้ยว น้ำท่วม น้ำแล้ง 3รส คือ รสจืด รสเปรี้ยว รสเค็ม เกิดความสมดุลเหมาะสม ในแต่ละพื้นที่ ในแต่ละช่วงเวลา กล่าวคือ ในช่วงฤดูแล้ง(ก.พ.-ส.ค.) จะเน้นการบริหารจัดการน้ำที่กักเก็บไว้ในช่วงปลายฤดูฝนเพื่อให้สามารถใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตรกรรม และเพื่อแก้ไขรักษาสิ่งแวดล้อม ให้เพียงพอตามเป้าหมายที่กำหนด  ในช่วงต้นฤดูฝน(ก.ย.-กลาง พ.ย.) เริ่มมีปริมาณน้ำจากฝนจะทำการเปิดประตูระบายน้ำต่างๆบริเวณชายฝั่งทะเล เพื่อฟื้นนิเวศน้ำกร่อยให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม อีกทั้งเป็นการชะล้างความสกปรกที่สะสมในพื้นที่มาตลอดช่วงฤดูแล้ง  ในช่วงฤดูฝน(ปลาย พ.ย.- ต้นม.ค.) จะเน้นการบริหารจัดการน้ำเพื่อประสิทธิภาพในการระบายน้ำสูงสุดเนื่องจากเป็นช่วงฝนตกหนัก หลังจากที่ปริมาณฝนเริ่มลดลงก็จะเริ่มปิดบานประตูระบายน้ำบริเวณชายฝั่งทะเลทุกแห่ง เพื่อเก็บน้ำไว้ในพื้นที่เพื่อใช้ในฤดูแล้งต่อไป สำหรับในพื้นที่ย่อยๆ จะใช้การบริหารจัดการประตูระบายน้ำในพื้นที่ในการควบคุมระดับน้ำและปริมาณน้ำ เพื่อจัดสรรน้ำไปใช้ประโยชน์ยังพื้นที่ต่างๆ โดยจะมีการส่งเสริมกระบวนการให้ราษฎรในพื้นที่ได้มีการปรึกษาหารือเอื้ออาทร เกลี่ยประโยชน์ แบ่งปันการใช้ทรัพยากรในพื้นที่และทำการตกลงในการใช้น้ำในแต่ละช่วงเวลาไม่ให้เกิดความขัดแย้งในทุกพื้นที่

ประตูระบายน้ำตามแนวพระราชดำริบริเวณชายฝั่ง โดยเฉพาะ ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ เป็นประตูระบายน้ำหลักที่ป้องกันไม่ให้น้ำเค็มทางด้านอ่าวปากพนังรุกล้ำเข้ามาในแม่น้ำปากพนังได้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง จะเห็นได้จากในช่วงฤดูแล้งปี 2553 ระดับน้ำในแม่น้ำปากพนังต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2 เมตร แต่การใช้น้ำจืดในพื้นที่ไม่เกิดปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ ราษฎรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังสามารถใช้น้ำจืดเพื่อประโยชน์ด้านต่างๆได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะเป็นแหล่งน้ำดิบเพื่อการประปาของทุกตำบลที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลและพื้นที่ใกล้เคียงกับแม่น้ำปากพนัง อีกทั้งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อใช้ในการเพาะปลูกได้หลายแสนไร่

สำหรับคลองลัดที่ได้ดำเนินการก่อสร้างตามแนวพระราชดำริ สามารถทำให้เกิดการหมุนเวียนน้ำด้านท้าย ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ ลดการเน่าเสียและลดระดับการเอ่อท่วมของน้ำด้านท้ายประตูระบายน้ำบริเวณอำเภอปากพนัง ได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดการขยายพันธุ์ของสัตว์สองน้ำ และเกษตรกรสามารถเลี้ยงปลาในกระชังได้เป็นจำนวนมากในช่วงเวลาที่เหมาะสม

การจัดสรรน้ำ

แหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกในช่วงฤดูแล้ง ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง มีดังนี้

1.  อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส  ความจุที่ระดับเก็บกัก 80 ล้านลูกบาศก์เมตร

2.  แม่น้ำปากพนังความจุที่ระดับเก็บกัก  67 ล้านลูกบาศก์เมตร (สามารถสูบไปใช้เพื่อการเกษตรกรรมโดยไม่เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ ประมาณ 16 ล้าน ลูกบาศก์เมตร)

3.  คลองชะอวดแพรกเมือง ความจุที่ระดับเก็บกัก 20 ล้านลูกบาศก์เมตร (สามารถสูบไปใช้เพื่อการเกษตรกรรมโดยไม่เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ ประมาณ 5 ล้าน ลูกบาศก์เมตร)

4.  เครือข่ายคลองระบายน้ำสายต่างๆในพื้นที่ MD1-MD8 จำนวน 589 สาย ยาวรวม 1,698 กิโลเมตร รวมความจุประมาณ 22 ล้านลูกบาศก์เมตร

5.  น้ำฝนใช้การในช่วงฤดูแล้ง (ก.พ.-ส.ค.) ปีฝนตกชุกประมาณ 846.2 มิลลิเมตร    ปีฝนปกติ ประมาณ  616.9 มิลลิเมตร ปีฝนแล้งประมาณ  412.7 มิลลิเมตร

โดยสรุป ปริมาณน้ำที่สามารถใช้สนับสนุนการทำนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง สำหรับปีฝนแล้ง สนับสนุนได้ประมาณ 115,000 ไร่ ปีฝนปกติ สนับสนุนได้ประมาณ 175,000 ไร่ และปีฝนตกชุก สนับสนุนได้ประมาณ 220,000 ไร่ โดยไม่เกิดการขาดแคลนและไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม (จะต้องไม่ดึงน้ำจากพื้นที่ป่าพรุทั้ง 4 ป่า ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 354,339 ไร่ มาใช้เพื่อการเกษตรกรรม)

พื้นที่ชลประทานในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง สามารถสนับสนุนน้ำสำหรับการปลูกพืชฤดูแล้ง ดังนี้

– พื้นที่ชลประทาน นิคมควนขนุน 17,600 ไร่ ปลูกพืชฤดูแล้ง  5,000  ไร่

– พื้นที่ชลประทานฝายไม้เสียบเดิม 35,000 ไร่ ปลูกพืชฤดูแล้ง  15,000  ไร่

– พื้นที่ชลประทานฝายไม้เสียบส่วนขยาย 24,000 ไร่ ปลูกพืชฤดูแล้ง  10,000  ไร่

– พื้นที่ชลประทานสูบน้ำด้วยระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ MC1 28,580 ไร่ ปลูกพืชฤดูแล้ง 28,580 ไร่

– พื้นที่ชลประทานสูบน้ำด้วยระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ MC2 12,320 ไร่ ปลูกพืชฤดูแล้ง 12,320ไร่

– พื้นที่ชลประทานสูบน้ำด้วยเครื่องสูบน้ำขนาดเล็กของราษฎร MD1-MD8  439,100 ไร่ ปลูกพืชฤดูแล้ง  208,000  ไร่

ปัจจุบันระบบโทรมาตร ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง  กรมชลประทานโดยสำนักอุทกวิทยาและบริหารน้ำ  ได้ปรับเปลี่ยนย้ายเครื่องตัวแม่ข่าย ไปอยู่ที่กรมฯ ทั้งหมดแล้ว โดนสำนักอุทกฯ จะรายงานข้อมูลน้ำจากระบบ   โทรมาตรผ่านทางเว็บไซด์  การบริหารจัดการน้ำ ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ ในปัจจุบันจึงเน้นไปที่การเก็บข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่โครงการฯ ประกอบกับข้อมูลการพยากรณ์อากาศและการคาดหมายลักษณะอากาศจากกรอุตุนิยมวิทยา  รวมทั้งข้อมูลจากเครือข่ายภาคประชาชนที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่ช่วงเวลานั้น ๆ อย่างไรก็ตามในช่วงที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติโครงการฯ ร่วมกับนายอำเภอปากพนังและตัวแทนจากพื้นที่ต่าง ๆ จะประชุมกันเกือบทุกวันเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการป้องกัน แก้ไข ซึ่งสามารถลดระดับความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่ง

ปัจจุบันระบบโทรมาตร ในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง  กรมชลประทานโดยสำนักอุทกวิทยาและบริหารน้ำ  ได้ปรับเปลี่ยนย้ายเครื่องตัวแม่ข่าย ไปอยู่ที่กรมฯ ทั้งหมดแล้ว โดนสำนักอุทกฯ จะรายงานข้อมูลน้ำจากระบบ   โทรมาตรผ่านทางเว็บไซด์  การบริหารจัดการน้ำ ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ ในปัจจุบันจึงเน้นไปที่การเก็บข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่โครงการฯ ประกอบกับข้อมูลการพยากรณ์อากาศและการคาดหมายลักษณะอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา  รวมทั้งข้อมูลจากเครือข่ายภาคประชาชนที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการรายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่

ส่วนการเตือนภัยLJlส่วนการเตือนภัยให้แก่ราษฎรนั้นโครงการฯ ได้แจ้งเตือนภัยไปยังอำเภอ  เทศบาลเมืองปากพนัง  องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ และสถานีวิทยุชุมชน  เพื่อให้ช่วยประชาสัมพันธ์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ให้ราษฎรได้เตรียมพร้อมรับมือ  ส่วนโครงการฯ ได้เปิดศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำ ในช่วยฤดูฝน โดยมีเจ้าหน้าที่อยู่ประจำศูนย์ฯ ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ  พร้อมกับจัดเจ้าหน้าที่ออกแก้ไขปัญหาอาคารชลประทานที่กีดขวางทางน้ำด้วย

การจัดการน้ำท่วม

ในช่วงฤดูฝนในอดีต พื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังโดยเฉพาะทางตอนล่างมักจะเกิดอุทกภัยเป็นประจำเกือบทุกปี มีน้ำเอ่อท่วมสูงประมาณ 1.50 เมตร นานประมาณ 1-2 เดือน

ปัจจุบันสภาพน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จะเกิดเฉพาะปีฝนตกชุก หรือปีที่มีสถิติฝนเกินเกณฑ์ปกติ ท่วมลึกประมาณ 0.5- 1.00 เมตร คลองระบายน้ำสายหลักสามารถระบายน้ำเข้าสู่ระดับปกติในระยะเวลาประมาณ 21 วัน (เหลือค้างเฉพาะในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางการระบายน้ำลงสู่คลองระบายสายหลักบางส่วน)

สำหรับตัวเมืองนครศรีธรรมราช มีสภาพเป็นแนวสันทรายขวางทางน้ำเดิม ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางด้านทิศเหนือของพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง รับน้ำจากลุ่มน้ำสาขาท่าดีและระบายออกสู่ทะเลอ่าวปากพนังโดยคลองหัวตรุด ประมาณ 60% คลองท่าซักประมาณ 30% และคลองอื่นๆประมาณ 10%โดยตรง  ทั้งนี้ การบริหารจัดการ ประตูระบายน้ำอุทกวิภาชประสิทธิ ไม่มีผลกระทบกับการระบายน้ำจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช

การระบายน้ำที่ไหลหลากท่วมตัวเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อเดือนมีนาคม 2554 กรมชลประทานได้ช่วยดำเนินการติดตั้งสูบน้ำจำนวน 8 เครื่อง ช่วยระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำ และติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 10 เครื่อง เพื่อเพิ่มความเร็วในการระบายน้ำออกจากตัวเมืองในคลองระบายน้ำสายหลักต่างๆ  สามารถลดระดับน้ำที่หลากท่วมตัวเมืองได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถระบายน้ำออกจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช เข้าสู่สภาพปกติ ภายในเวลาประมาณ 10 วัน

การระบายน้ำที่ไหลหลากท่วมตัวเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อเดือนมีนาคม 2554 กรมชลประทานได้ช่วยดำเนินการติดตั้งสูบน้ำจำนวน 8 เครื่อง ช่วยระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มต่ำ และติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 10 เครื่อง เพื่อเพิ่มความเร็วในการระบายน้ำออกจากตัวเมืองในคลองระบายน้ำสายหลักต่างๆ  สามารถลดระดับน้ำที่หลากท่วมตัวเมืองได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถระบายน้ำออกจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช เข้าสู่สภาพปกติ ภายในเวลาประมาณ 10 วัน

กราฟแสดงระดับและปริมาณน้ำหลากในช่วงอุทกภัย เมื่อ 23 มี.ค.- 12 เม.ย. 2554

การพัฒนาอาชีพ

การทำนา

ในอดีตพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของภาคใต้ ก่อนมีโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีการทำนาปี ประมาณ  400,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองผลผลิตประมาณ 350 ก.ก./ไร่  นาปรังประมาณ 50,000 ไร่ ผลผลิตประมาณ 450 ก.ก./ไร่ หลังโครงการแล้วเสร็จ ในปัจจุบัน มีการทำนาปี ประมาณ  400,000 ไร่ ผลผลิตประมาณ 650 ก.ก./ไร่  นาปรังประมาณ 200,000 ไร่ ผลผลิตประมาณ 750 ก.ก./ไร่  (พื้นที่นาบางส่วนมีการปรับเปลี่ยนไปผลิตผลการเกษตรชนิดอื่นๆ) ในปี 2552 รายได้เงินสดรวมต่อครัวเรือน ประมาณ 200,649.62 บาท/ครอบครัว/ปี ปัจจุบันรายได้เฉลี่ยของราษฎรเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ไม่น้อยกว่า 30%

(ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต 8)

การปลูกปาล์ม

เดิมไม่มีการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง  เนื่องจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังจำนวนมากมีที่ดินถือครองมีสภาพเป็นดินเปรี้ยวจัดทำการเพาะปลูกพืชใดๆไม่ได้  ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี กรมวิชาการเกษตร ได้ทดลองปลูกปาล์มในพื้นที่ที่มีสภาพเป็นพรุดินเปรี้ยวจัด ปรากฏว่าได้ผลดี  คณะอนุกรรมการพัฒนาอาชีพจึงได้กำหนดเขตส่งเสริมพื้นที่ที่มีดินเปรี้ยวจัดทำการเพาะปลูกพืชอื่นๆไม่ได้เป็นพื้นที่ส่งเสริมการปลูกปาล์ม  โดยพื้นที่ส่งเสริมจะต้องไม่เป็นพื้นที่ป่าสงวน ราษฎรต้องมีเอกสารสิทธิ์ชัดเจน ในเวลาต่อมาเนื่องจากกระแสการปลูกปาล์มน้ำมันสูง ปัจจุบันนอกเหนือจากพื้นที่ที่เป็นดินเปรี้ยวจัดแล้ว ราษฎรในพื้นที่อื่นๆได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่นาและพื้นที่รกร้างบางส่วนมาปลูกปาล์มน้ำมันด้วยอีกด้วย ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกปาล์มในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังรวมประมาณ 168,000 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่พรุ

(ที่มา : ฝ่ายยุทธศาสตร์และสารสนเทศ  สำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช)

การเลี้ยงกุ้ง

เนื่องจากตั้งแต่ปี 2547 ถึง ปัจจุบัน การเลี้ยงกุ้งประสบปัญหาราคากุ้งทะเลตกต่ำ กอร์ปกับเกิดการแพร่ระบาดของโรคกุ้งทะเล ทำให้ปริมาณการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลโดยทั่วไป ลดลงเป็นอย่างมาก  ศูนย์พัฒนาประมงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ได้มีการจัดระบบชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเล และส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ในพื้นที่น้ำเค็มนำร่อง 4 พื้นที่คือ บ้านหน้าสตน พื้นที่โครงการ 1,030 ไร่ เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 630 ไร่ บ้านบ่อคณฑี พื้นที่โครงการ 2,015 ไร่ เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 501 ไร่ อำเภอหัวไทร บ้านหน้าโกฏิ พื้นที่โครงการ 1,216 ไร่ เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 632 ไร่บ้านท่าพญา พื้นที่โครงการ 1,320 ไร่ เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 271 ไร่ อำเภอปากพนัง รวมพื้นที่โครงการ 5,581 ไร่ เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 2,034 ไร่ การระบายน้ำจากบ่อเลี้ยงกุ้งมายังบ่อพักใช้การบำบัดน้ำโดยธรรมชาติ และจะทำการตรวจวัดคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ก่อนระบายลงนอกชายฝั่งทะเล หรือหมุนเวียนไปใช้ในการเพาะเลี้ยงกุ้งต่อไป  สำหรับในพื้นที่เพาะเลี้ยงนอกเขตระบบชลประทานน้ำเค็มเพื่อการเลี้ยงกุ้งทะเล กรมประมงได้ทำการตรวจวัดคุณภาพให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ก่อนระบายลงสู่ชายฝั่งทะเล เช่นกัน

คันแบ่งเขตน้ำจืด-น้ำเค็ม สามารถขจัดความขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำที่คุณภาพแตกต่างกัน ระหว่างเกษตรกรนากุ้งและนาข้าวได้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากการกำหนดแนวคันแบ่งเขตการใช้ประโยชน์คุณภาพน้ำทำการเกษตรกรรมที่แตกต่างกันโดยใช้แนวถนนชนบทในพื้นที่ที่ตกลงกำหนดโดยราษฎรในพื้นที่เอง สำหรับนากุ้งกุลาดำเดิมซึ่งอยู่ในเขตน้ำจืด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ช่วยเหลือตามโครงการปรับเปลี่ยนอาชีพให้ทำการเกษตรด้านอื่นโดยใช้น้ำจืด หรือเปลี่ยนไปเลี้ยงกุ้งขาวน้ำจืด หากเกษตรกรรายใดยังคงต้องการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในเขตน้ำจืดจะต้องเลี้ยงในระบบปิดควบคุมการออกใบรับรองผลผลิตโดยกรมประมง ปัจจุบันเกษตรกรที่ใช้คุณภาพน้ำที่แตกต่างกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน สามารถเกลี่ยแบ่งปันประโยชน์ตามความเหมาะสมในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

การฟื้นฟูพัฒนาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์การจัดการป่าไม้ปัจจุบันสภาพป่าต้นน้ำ ป่าพรุ และป่าชายเลน ได้ประสบปัญหาการบุกรุกทำลายและเกิดการเสื่อมโทรมของป่าไม้เป็นอย่างมากเนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัย ถนนและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพื้นที่ทำกิน ซ้อนทับอยู่ในพื้นที่ป่า คณะอนุกรรมการพัฒนาสิ่งแวดล้อมฯ ได้กำหนดแผนแม่บทและแผนงานแก้ไขฟื้นฟูและพัฒนาสิ่งแวดล้อมครอบคลุมทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บรูณาการเฝ้าระวังป้องกันการบุกรุก

สำหรับการขยายพันธุ์ปลาและพันธุ์กุ้งในพื้นที่น้ำจืด  กรมประมง โดยสำนักงานพัฒนาการประมงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จาก สำนักงาน กปร. และงบประมาณปกติ ในการปล่อยพันธุ์กุ้งและพันธุ์ปลาในแม่น้ำลำคลองในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอย่างต่อเนื่อง สำหรับในปี 2554 ได้ปล่อยพันธุ์กุ้งและพันธุ์ปลารวม 2.5 ล้านตัว อีกทั้งได้มีการสนับสนุนส่งเสริมการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำในรูปแบบสหกรณ์เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในพื้นที่ชลประทานน้ำเค็ม ส่งเสริมการเลี้ยงปลาและปูในบ่อกุ้งร้างของราษฎร

การฟื้นฟูพัฒนาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์

การจัดการป่าไม้

ปัจจุบันสภาพป่าต้นน้ำ ป่าพรุ และป่าชายเลน ได้ประสบปัญหาการบุกรุกทำลายและเกิดการเสื่อมโทรมของป่าไม้เป็นอย่างมากเนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัย ถนนและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพื้นที่ทำกิน ซ้อนทับอยู่ในพื้นที่ป่า คณะอนุกรรมการพัฒนาสิ่งแวดล้อมฯ ได้กำหนดแผนแม่บทและแผนงานแก้ไขฟื้นฟูและพัฒนาสิ่งแวดล้อมครอบคลุมทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม

สร้างฝายต้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ และปลูกเสริม ฟื้นฟู พื้นที่ป่าต้นน้ำ ป่าพรุ และป่าชายเลน อย่างเต็มกำลัง อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการน้ำเพื่อสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับบริหารน้ำเพื่อการเกษตรให้สมดุล พยายามรักษาระดับน้ำให้ท่วมขังในพื้นที่ป่าพรุเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้โดยราษฎรไม่ได้รับผลกระทบ  ปัจจุบันกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชร่วมกับกรมป่าไม้และกรมชลประทาน อยู่ในระหว่างการเสนอร่าง EIA ผ่านสำนักงาน กปร. เพื่อศึกษาแนวทางการรักษาระดับน้ำในพื้นที่ป่าพรุเพื่อป้องกันไฟไหม้และการบุกรุกตามแนวพระราชดำริตั้งแต่ปี 2545  นอกจากนั้นยังได้มีการพัฒนาปรับปรุงบำรุงดินแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวและดินเค็มในพื้นที่โดยกรมพัฒนาที่ดิน การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง แล้วเสร็จจำนวน 16 กิโลเมตร โดยกรมเจ้าท่า การก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียชุมชนแล้วเสร็จจำนวน 4 แห่ง การเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่องโดยองค์การจัดการน้ำเสียและกรมควบคุมมลพิษ

การจัดการวัชพืช

ในอดีตพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังมีปัญหาการแพร่ระบาดของผักตบชวาและผักกระเฉด(หรือผักกระฉูด) เป็นอย่างมาก กรมชลประทานร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราชและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้ประสานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จัดทำกระบวนการร่วมกันในการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการกำจัด การควบคุมและนำไปใช้ประโยชน์ การสร้างจิตสำนึก และการจัดการความรู้ เกี่ยวกับวัชพืชแบบมีส่วนร่วม  หลังจากที่กรมชลประทานได้จัดสรรงบประมาณมากำจัดวัชพืชทั้งหมดในพื้นที่แล้ว เมื่อปี 2552-2553 ได้มีการร่วมลงนาม MOU ระหว่างกรมชลประทานกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดนครศรีธรรมราช ในการดำเนินการดูแลรักษาไม่ให้วัชพืชแพร่ระบาดโดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับราษฎรในพื้นที่ เป็นผู้ดูแลรักษาควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ  ปัจจุบันปัญหาการแพร่ระบาดของวัชพืชในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังลดลงเป็นอย่างมาก

การขุดลอกร่องน้ำบริเวณอ่าวปากพนังและชายฝั่งทะเล

กรมเจ้าที่ได้มีแผนการดำเนินการบำรุงรักษาร่องน้ำบริเวณอ่างปากพนัง แม่น้ำปากพนังและปากคลองระบายน้ำสายหลักๆ บริเวณชายฝั่งทะเล พื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อย่างต่อเนื่อง เป็นประจำทุกปี  โดยนำมูลดินไปทิ้งยังเขตทะเลน้ำลึก เพื่อไม่ให้ก่อเกิดมลภาวะหรือผลกระทบบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล  โดยได้ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่นสมาคมชาวประมงปากพนัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง โดยศูนย์อำนวยการฯรับหน้าที่เป็นองค์กรเชื่อมประสาน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน ทั้งนี้เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ให้สามารถดำเนินงานได้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์  และตรงตามความต้องการของราษฎรในพื้นที่

การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งการป้อง

กรมเจ้าท่าได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยศูนย์วิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม  บางเขน   คณะวิศวกรรมศาสตร์  เป็นที่ปรึกษาเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้เป็นไปอย่างมีระบบคำนึงถึงผลกระทบซึ่งกันและกัน  และมีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืน โดยดำเนินการศึกษาและสำรวจออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง แบ่งเป็น 2 โครงการ โครงการระยะที่ 1บริเวณบ้านหน้าโกฏิอำเภอปากพนัง ถึงบ้านหน้าสตน อำเภอหัวไทร  จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะทาง 16 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้าง OffShore BreakWater ยาว 50 เมตร เว้นระยะ 40 เมตร ห่างจากชายฝั่งประมาณ 80 เมตร ต่อเนื่องกันไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีราษฎรพึงพอใจเนื่องจากสามารถแก้ปัญหาการกัดเซาะได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นที่กำบังคลื่นลมของเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็กและเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและเพาะฟักสัตว์น้ำทะเลชายฝั่ง  ปัจจุบันได้ทำการศึกษาโครงการระยะที่ 2 เพิ่มจากบ้านเนินน้ำหัก ไปจนถึงปลายแหลมตะลุมพุก อีกประมาณ 14 กิโลเมตร แต่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ต้องผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก่อน (รวมระยะทางดำเนินการตามเป้าหมายทั้งสิ้น ประมาณ 39 กิโลเมตร)

แหล่งเรียนรู้หลักในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง